
เราหลงลืมอะไรบางอย่าง ของนักเขียน วัชระ สัจจะสารสิน ได้รับรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน
(ซีไรต์) ของประเทศไทย ประจำปี พ.ศ.
๒๕๕๑ เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นที่มีเนื้อหาผูกติดกับความเป็นไปในสังคม เพื่อตั้งคำถามกับประชาธิปไต การปฏิวัติ ขยะการเมือง วิถีชนบทที่เสื่อมถอย ชีวิตชาวเมืองอันแปลกแยก ตลอดจนความเป็นปัจเจกของผู้คนในสังคมที่ไม่มีใครสนใจกันและกัน
“ นักปฏิวัติ” เล่าถึงนักศึกษาที่พยายามทำรายงานเรื่องนักปฏิวัติคนสำคัญของโลกเพื่อส่งอาจารย์ ทำให้เขาพบว่า นักปฏิวัติทั้งหลายล้วนแต่มี “อีโกอิสซึ่ม”หรือความเชื่อมั่นในตนเองสูง และพร้อมจะต่อต้านทุกกฎเกณฑ์ที่ไร้สาระสำคัญ นั่นทำให้เขาคิดจะเสนอรายงานหน้าชั้นโดยการสวมเสื้อยืด แม้ว่าปกติตามระเบียบการออกไปเสนอรายงานต้องแต่งชุดนักศึกษาให้เรียบร้อย
แต่ตอนนี้เขาไม่สนใจกฎใดทั้งสิ้น
ผู้เขียนได้ตั้งคำถามผ่านการกระทำของตัวละครถึงสาระสำคัญของการปฏิวัติ จะถูกต้องเพียงใดกับการปฏิเสธกฎเกณฑ์ที่ตั้งขึ้นเพื่อรักษาความเรียบร้อยของสังคม ความพยายามปฏิวัติของนักศึกษาหนุ่มทำไปเพื่อยกระดับวิถีชีวิตของมวลชน หรือเพียงเพราะเรียกร้องความสนใจให้ตัวเองโดดเด่นในฐานะคนที่ “กล้า” ท้าทายกรอบ ซึ่งสิ่งที่ผู้เขียนสร้างตัวละครให้แสดงออกมานั้นสะท้อนให้เห็นถึงการใช้ทฤษฎีแนวสัจสังคมนิยม
(Socialist Realism) ที่มุ่งเสนอให้วรรณกรรมทำหน้าที่เป็นกระจกส่องสะท้อนสภาพความเป็นไปของมนุษย์และสังคมตามความเป็นจริง
โดยหวังว่าวรรณกรรมจะสามารถเป็นเครื่องมือเปลี่ยนแปลสังคมในทางที่ดีขึ้นได้
เนื้อเรื่องย่อ
ชายผู้หนึ่งซึ่งยังอยู่ในวัยเรียนระดับอุดมศึกษา
ช่วงต้นเทอมอาจารย์ได้มอบหมายให้เขาทำรายงาน แต่ตัวเขาเองกลับปล่อยปละละเลย ไร้ระเบียบในการจัดการชีวิตและการเรียน
ท้ายที่สุดเขากลับตื่นตัวคิดทำรายงานเมื่อเวลาล่วงผ่านจวนเหลืออาทิตย์สุดท้าย
คราแรกเขาคิดจะทำเรื่องมายาภาพทางการเมือง แต่หนังสือเรื่องดังกล่าวได้มีคนยืมไปเสียแล้ว
เขาไม่มีเวลาอีกแล้วที่จะคอยหนังสือเหล่านั้นจากคนที่ยืมไป
ในที่สุดจึงก็ต้องเปลี่ยนหัวข้อรายงานมาเป็นเรื่องการปฏิวัติ
มันวาบเข้าสู่สมองเมื่อเข้าสู่ภาวะจนตรอก
เขาต้องบากหน้าไปอ้อนวอนขอเปลี่ยนหัวข้อรายงานจากอาจารย์ผู้สอน
หลังจากนั้นเขาเริ่มทำรายงานอย่างจริงจัง
แต่การทำรายงานทุกครั้ง ต้องจบด้วยการออกรายงานหน้าชั้นเรียน เนื่องจากเขาเป็นคนที่ขาดความมั่นใจ ไม่กล้าแสดงออกต่อสาธารณชน
ทำให้เขาตั้งใจซ้อมในการรายงานหน้าชั้นเรียนเป็นกว่าคนอื่นหลายเท่าตัว ในขณะที่ซ้อมการนำเสนอหน้าชั้นนั้นเอง เขามักเผลอคิดอยู่เสมอว่าว่าตัวเขาเองเป็นนักปฏิวัติระดับโลก ที่มีท่วงทำนองและน้ำเสียงก้องกังวานชวนติดตาม ซึ่งสิ่งที่เขาคิดนั้นช่างตรงกันข้ามกับความเป็นจริงยิ่งนัก
เพราะในชีวิตจริงเขามักจะขาดความมั่นใจในการพูดต่อหน้าสาธารณะ และกระทำสิ่งเหล่านี้ได้ไม่ดีเอาเสียเลย ในที่สุดการตั้งใจที่สุดในชีวิตของเขาก็ต้องสูญเปล่า
เขาไม่กล้าแม้ที่จะนั่งเรือข้ามฝั่งไปยังจุดหมายปลายทางเพื่อทำภารกิจให้สำเร็จ มหาวิทยาลัยอยู่ฝั่งตรงข้ามไม่ไกลนัก แต่ตัวเขากลับปฏิเสธที่จะข้ามฝั่งไปยังจุดหมาย เขายอมแพ้ต่อตนเองเสียแล้ว
ในที่สุดเขาเดินทางกลับบ้านอย่างสิ้นหวัง
ความภาคภูมิใจที่ได้ทำรายงานในสิ่งที่รัก
รวมไปถึงความยิ่งใหญ่ของนักปฏิวัติที่เขาค้นคว้าตลอดสัปดาห์ได้อันตรธานหายไปจนหมดสิ้น
เมื่อกลับถึงห้องเขานิ่งคิดทบทวนเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิต พร้อมทั้งกวาดสายตาไปทั่วห้อง พื้นห้องยังรายล้อมไปด้วยฝุ่นละออง มวลหมู่หยากไย่ขึงระโยงระยางเต็มเพดาน
กองหนังสือเกี่ยวกับเรื่องปฏิวัติยังวางอยู่กับเศษกระดาษ และในขณะนั้นเอง เขาจึงนึกคิดได้ว่า
ตัวเขาเอง “หลง” และ “ลืม” ใจความสำคัญของการปฏิวัติที่แท้จริงไป เพราะการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่อาจจะมีผลต่อชีวิตของคนส่วนใหญ่จะต้องเป็นไปเพื่อสนองอุดมการณ์และเจตนารมณ์อันบริสุทธิ์ หากคิดจะเปลี่ยนแปลงสังคม
ควรเริ่มต้นจากการปฏิวัติตนเองเสียก่อน เขาจึงเริ่มต้นการปฏิวัติอย่างง่ายด้วยการจับไม้กวาด และเริ่มทำความสะอาดห้องของตน
กล่าวโดยสรุป วรรณกรรมเราหลงลืมอะไรบางอย่าง เรื่อง
นักปฏิวัติ ของผู้แต่งวัชระ สัจจะสารสิน เป็นวรรณกรรมที่ชวนตั้งคำถามให้คนในสังคมตระหนักว่า ในขณะที่โลกเปลี่ยนแปลงไป
เราหลงลืมอะไรที่เป็นแก่นแท้ของชีวิตหรือไม่ เราคิดฝันในสิ่งที่ไกลเกินจริง จนลืมความสำคัญของสิ่งที่ใกล้ตัว ดังเช่น
ที่ชายหนุ่มในเรื่องคิดเรื่องการเป็นนักปฏิวัติระดับโลก จนลืมปฏิวัติระเบียบแบบแผนการใช้ชีวิตของตนเอง
ผู้เขียนใช้กลวิธีการเล่าเรื่องผ่านตัวละครซึ่งมีตัวละครเด่นเพียงคนเดียว
มีการสร้างจุดสำคัญของเรื่องให้ผู้อ่านลุ้นตามว่า
ชายหนุ่มจะตัดสินใจนั่งเรือข้ามฝั่งไปนำเสนอรายงานหรือไม่ และมีการหักมุมในท้ายเรื่อง โดยการเขียนให้ตัวละครเลือกที่ปฏิเสธการเป็นนักปฏิวัติที่ยิ่งใหญ่แต่เลือกที่จะปฏิวัติตนเองแทน ดังนั้น
“นักปฏิวัติ” จึงเป็นวรรณกรรมที่มีคุณค่าและให้ข้อคิดอย่างดียิ่งต่อยุคที่หลงลืมแก่นแท้ของชีวิตดังเช่นปัจจุบัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น